Carbon Footprint หรือการวัดปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิต (Product Life Cycle) ได้ถูกวางแผนลดตั้งแต่ปี 2007 ด้วยพันธกิจที่เข้มแข็งของ Sir Terry Leahy ประธานกรรมการบริหารของกลุ่ม Tesco จากบทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน BusinessWeek ฉบับตุลาคม 2552
หลายคนอาจสงสัยมานานทำไม Lotus ถึงเปลี่ยนเป็นสีเขียว!!! (ถ้าจำกันได้ก็หลังจากปี 2003 ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ขายหุ้น Tesco ออกไป) เรียกว่า Green Store Lotus นั่นเอง นอกจากจะมีมาตรการ แผนงานกำหนดให้พนักงานปฏิบัติแล้ว สิ่งที่เป็นรูปธรรมที่พนักงานและลูกค้ามองเห็นอาคารสีเขียวทุกวันอย่างนี้ก็คือ The Secret กฏแห่งความสำเร็จ ที่ Lotus ใช้ได้อย่างเนียนเนียน แถมยังเป็นสมาชิกของ Climate Neutrality Network เพื่อแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนด้วย
ภายในปี 2020 Tesco ประกาศว่าจะลด CO2 จากสาขาและศูนย์กระจายสินค้าทั่วโลกให้ได้ถึง 50% ตอนนี้เดินมาถึงครึ่งทางแล้ว แม้ว่าจะผ่านไปเพียง 2 ปี ส่่วน Green Store เนี่ยมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2003 เพื่อให้เป็นอาคารอนุรักษ์พลังงานที่ลดการใช้พลังงานได้ 12.5% สำหรับ Green Store แ่ห่งแรกใน ASIA อยู่ที่ ถนนพระรามที่ 1 ที่เริ่มเปิดเมื่อปี 2004 ส่วนอีกแห่งก็ที่ศาลายานี่เอง ทั้ง 2 แห่งมี Innovation ในเรื่องการประหยัดพลังงานมากมาย ทั้งเรื่องระบบปรับอากาศที่ใช้ Chiller, Solar Energy, การออกแบบอาคาร, Biodiesel & Biogas Plant, Solar Cooling System, Wind Turbine ฯลฯ
สำหรับการลด CO2 นั่นได้ร่วมมือกับ Environmental Resources Management (ERM) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในกระบวนการตรวจสอบการใช้พลังงานและคำนวณ Carbon Footprint ตามกรอบของอนุสัญญาก๊าซเรือนกระจก World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) และใช้ปีฐานคือปี 2006 โดยวัดจาก 3 ส่วนหลักของ Business Core คือ อาคารสิ่งก่อสร้าง การกระจายสินค้า และการเดินทางติดต่อธุรกิจของพนักงาน
การลงทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 568 ล้านบาท โดยลดได้มากกว่า 31,000 ตันนั้นได้จากกระบวนการ เช่น การใช้หลอดไฟ T5, ใช้น้ำมันไบโอดีเซลในระบบขนส่งที่ได้รับความร่วมมือจาก Suppliers จากปี 2006 ลด Carbon Footprint สะสมได้ถึง 14.4% ในปี 2008 แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงยกที่หนึ่ง ที่ง่ายที่สุดของการลด Carbon Footprint แล้ว ยกต่อไปจะยุ่งยากหนักกว่าเดิมแน่นอน เพราะรู้ๆ กันอยู่แล้วว่าการคิดแบบ Life Cycle ต้องอาศัยความร่วมมือของต้นน้ำและปลายน้ำเป็นสำคัญทีเดียว