เหตุการณ์ก๊าซพม่าหยุดไม่ใช่ครั้งแรก แม้ก๊าซพม่าไม่หยุดในปีนี้ ก็ดูเหมือนวิกฤตไฟฟ้าดับที่ภาคใต้ในช่วง 1-2 ปีนี้อาจเกิดขึ้นได้ เพราะภาคใต้ขาดการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มาระยะหนึ่ง และจากเหตุผลที่เป็นที่รู้กันดีจากการที่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่เกือบ 70% การเกิดเหตุการณ์แหล่งก๊าซพม่าหยุดจึงกระทบกับประเทศไทยเต็มๆ ซึ่งผลจากการเกิดเหตุการณ์ทำให้โรงไฟฟ้าอื่นๆ ทั่วประเทศช่วยกันบรรเทาความเสียหายไว้ทั้งในมุมเทคนิค-ไฟฟ้าดับ-และมุมเศรษฐศาสตร์-ค่า Ft สูงกระทบอุตสาหกรรมและเงินในกระเป๋าประชาชนทั้งประเทศ
Blog นี้จึงได้รวบรวมไว้ทั้งเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่ฉุกเฉิน ที่เกิดผลกระทบกับการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเรา ดังนี้
ปี 2552
สาเหตุที่ต้องเปิดระบายน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เพราะวันที่ 13 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบงกชในอ่าวไทย ท่อส่งก๊าซรั่ว ต้องปิดซ่อมทั้งระบบ ทำให้ก๊าซธรรมชาติหายไปถึง 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ต่อมาวันที่ 15 สิงหาคม แหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติยาดานาในพม่า ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ทำให้ก๊าซธรรมชาติหายไป 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุต รวมก๊าซ 2 แหล่งที่หายไปสูงถึง 1,750 ล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้า 10,000 MW ซึ่งเกินความสามารถของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ผลิตขนานอยู่ในประเทศไทยจะรับ มือได้ทัน
ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าในประเทศไทยดับ กฟผ. จึงให้เขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ามากเป็นอันดับ 2 รองจากเขื่อนภูมิพล เดินเครื่องปั่นไฟฟ้าทั้ง 5 เครื่อง ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม ตั้งแต่ 8:00 น. เพื่อป้อนไฟเข้าระบบอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่มีเวลาเตือนให้ประชาชนที่อยู่ท้ายเขื่อน รู้ล่วงหน้าว่าน้ำจะท่วม เพราะต้องใช้ปริมาณน้ำผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จนส่งผลให้กระทบต่อระดับน้ำในแม่น้ำแควใหญ่ จนกระทั่งเวลา 02:00 น. ของวันที่ 16 ส.ค. จึงได้หยุดการผลิตทั้ง 5 เครื่อง ขณะนี้เหตุการณ์ได้เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เพราะแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานา ใช้งานได้ปกติ และต้องขอโทษชาวกาญจนบุรีในพื้นที่บางส่วนที่อยู่ติดริมน้ำ ได้รับผลกระทบจากการปล่อยน้ำดังกล่าว และขอบคุณชาวกาญจนบุรีที่ช่วยให้ระบบไฟฟ้าของทั้งประเทศ สามารถรักษาระบบไว้ได้ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาไฟฟ้าดับได้ ซึ่งขณะนี้น้ำในลำน้ำจะลดระดับน้ำริมตลิ่งลงเรื่อยๆ และกลับสู่สภาวะปกติ
***อันนี้เป็นอีกมุมที่ประชาชนในพื้นที่หนึ่งต้องเสียสละ เพื่อให้คนในพื้นที่นั้นหรือพื้นที่ข้างเคียงมีไฟฟ้าใช้***
ปี 2553
1 ก.พ.53 นสพ.โพสต์ทูเดย์
ปตท. แจ้งแผนการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานา ประเทศพม่า เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าระหว่างวันที่ 17-26 มี.ค. 2553 รวม 10 วัน สำหรับแผนหยุดจ่ายก๊าซฯ แหล่งยาดานา เนื่องจากมีการก่อสร้างท่อก๊าซและติดตั้งอุปกรณ์บนแท่นผลิตเพื่อส่งก๊าซฯ ภายในประเทศพม่าเอง โดยปริมาณกำลังผลิตก๊าซฯ จากแหล่งยาดานาจะอยู่ที่ 700 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน แต่ในทางเทคนิคก๊าซฯ ที่ถูกจัดส่งมาจากแหล่งดังกล่าวจะต้องนำมาผสมกับก๊าซฯ จากแหล่งเยตากุนที่มีการผลิต 460 ล้าน ลบ.ฟุต/วัน ดังนั้นเมื่อแหล่งใดแหล่งหนึ่งหยุดซ่อมก็เท่ากับแหล่งก๊าซฯ ทั้งสองแห่งต้องหยุดจ่ายไปด้วย ทำให้มีปริมาณก๊าซฯ หายไปประมาณวันละ 1,070 ล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้ารวมประมาณ 6,000 MW
ความเสี่ยงของการใช้ก๊าซธรรมชาติจากพม่า เนื่องจากการผลิตจากแหล่งเยตากุนขึ้นกับแหล่งยาดานา หยุดก็หยุดพร้อมกันอีก ก๊าซฝั่งตะวันตกหายทั้งหมด
ผลกระทบการผลิตไฟฟ้า:
มีการเพิ่มสำรองน้ำมันเตาจากปกติ 3 วันเป็น 5 วันในช่วงดังกล่าว เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับ
อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันเตามาผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซฯ ซึ่งก็มีโรงไฟฟ้ากระบี่ ราชบุรี บางปะกง พระนครใต้ และเตรียมพร้อมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลไว้ด้วย โดยต้องสำรองน้ำมันเพิ่มเพื่อรองรับในช่วง 10 วันนั้น รวมแล้วประมาณ 100 ล้านลิตร จะทำให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ถือเป็นจุดเสี่ยงของระบบการผลิตไฟฟ้าของไทยที่พึ่งพาก๊าซฯ สัดส่วนสูงถึง 70% โดยการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงทดแทน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 600-700 ล้านบาทช่วยค่า Ft:
ได้เรียกก๊าซฯ จากแหล่งอ่าวไทยให้ผลิตมากขึ้นกว่าแผน ประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปกติผลิตประมาณ 2,400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นแหล่งอาทิตย์ และเจดีเอ
วันที่ 7 เม.ย.53 ไทยรัฐ
พม่าได้จ่ายก๊าซเข้าระบบเร็วกว่ากำหนด ส่งผลให้การใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้ามีปริมาณลดลงตามไปด้วย เพราะตามแผนบริหารเชื้อเพลิงกำหนดไว้ว่าจะต้องใช้น้ำมันเตา 128 ล้านลิตร ก็ใช้เพียง 80 ล้านลิตร ส่วนน้ำมันดีเซล ใช้เพียง 10.5 ล้านลิตร จากแผนจะต้องใช้ 16 ล้านลิตร ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ดังนั้น ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้นราว 6x% ของ 600-700 ล้านบาท => 400 ล้านบาท
ปี 2554
4 ก.ค. 2554 เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ
เหตุท่อส่งก๊าซธรรมชาติรั่วนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2554 ซึ่งป็นท่อกิ่ง (24 นิ้ว) ต่อเชื่อมระหว่างท่อประธานในทะเลท่อเส้นที่ 1 (34 นิ้ว) ที่ส่งก๊าซธรรมชาติมาจากแหล่งปลาทอง จากการที่สมอเรือของบริษัทฮุนไดคู่สัญญาของ ปตท. ซึ่งเป็นผู้รับเหมาวางท่อก๊าซธรรมชาติในแหล่งเดียวกัน ถูกทิ้งลงไปบนจุดเชื่อมต่อตรงระดับความลึกจากผิวน้ำทะเล 60 เมตร ส่งผลให้ความสามารถในการจัดหาก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. ลดลงประมาณวันละ 600 ล้าน ลบ.ฟุต
การปฏิบัติการของกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน):
วันที่ 4 ก.ค.2554 นักประดาน้ำได้ปิดวาล์วตัดแยกระบบท่อกิ่ง ออกจากท่อประธานแล้วเสร็จ ซึ่งต้องตรวจสอบต่อว่ามีน้ำทะเลอยู่ในท่อฯ ถ้ามีต้องกำจัดน้ำและความชื้นออกจากระบบก่อนนำกลับเข้าใช้งานได้ตามปกติ
ผลกระทบการผลิตไฟฟ้า:
ปตท. จัดหาและจัดส่งน้ำมันเตาให้แก่โรงไฟฟ้าปริมาณ 30 ล้านลิตร และจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG ราคา 400 บาทต่อล้านบีทียู , ก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยอยู่ที่ 224-230 บาทต่อล้านบีทียู ) ในเดือนกรกฎาคมนี้เพิ่มขึ้นอีก 70,000 ตัน เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ ในส่วนของก๊าซฯ ที่ใช้ผลิตไฟฟ้าจะขาดก๊าซธรรมชาติในระบบไปประมาณวันละ 250 ล้าน ลบ.ฟุต ซึ่งทำให้การผลิตไฟฟ้าหายไปประมาณ 4,200 MW นั้น ส่งผลให้ต้องเดินโรงไฟฟ้าพลังความร้อน คือ โรงไฟฟ้าบางปะกง ทั้ง 4 หน่วย โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ซึ่งปลดระวางแล้ว และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี 2 หน่วย จะต้องหันมาใช้น้ำมันเตา (ราคาน้ำมันเตาขณะนั้นอยู่ที่ 105-110 เหรียญ/บาร์เรล) เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติ
จากการประเมินเบื้องต้น หากการซ่อมแซมท่อก๊าซธรรมชาติที่รั่วไหลใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จะกระทบต่อค่า Ft ที่ถูกส่งผ่านมายังบิลค่าไฟประมาณ 2.5 สตางค์/kWh แต่หากต้องใช้เวลาระหว่าง 1-2 เดือน ค่า Ft จะถูกปรับเพิ่มขึ้นไปถึง 10 สตางค์/หน่วย ***
ช่วยลด Ft ให้มากที่สุด: ผลิตด้วยเขื่อน และ ถ่านหิน เต็มที่
เพิ่มการผลิต 2 โรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากโรงไฟฟ้าเขื่อนน้ำเทิน 2 กำลังผลิต 1,070 MW และเขื่อนน้ำงึม 2 กำลังผลิต 615 MW รวมทั้งเพิ่มการผลิตจากเขื่อนรัชชประภากำลังผลิต 240 MW และยังเลื่อนแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าแม่เมาะและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีออกไปอย่างน้อย 2 สัปดาห์
ปี 2555
13 พ.ย. 2555 thaipost
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศสหภาพพม่า เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2555 ขนาดความสั่นสะเทือน 6.6 ริกเตอร์ ส่งผลให้วาล์วก๊าซธรรมชาติที่บ้านอีต่อง จ.กาญจนบุรี ซึ่งรับก๊าซฯ จากประเทศพม่า เกิดปัญหาปิดตัวเอง และทำให้ประเทศไทยไม่สามารถรับก๊าซธรรมชาติจากพม่าในอัตรา 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันได้ รวมทั้งส่งผลให้โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจากฝั่งตะวันตก กำลังผลิตไฟฟ้ารวมประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ต้องหยุดเดินเครื่องชั่วคราว ทั้งนี้ กฟผ.ได้แก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการสั่งเดินเครื่องน้ำมันเตาจากโรงไฟฟ้าราชบุรีทดแทน จนกระทั่งท่อก๊าซกลับมาเริ่มส่งก๊าซได้ตามปกติเมื่อเวลา 11.00 น. และสามารถส่งจ่ายเข้าโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ทั้งหมดได้ในช่วงบ่ายวันที่ 11 พ.ย.2555
ปี 2556
20 ก.พ. 2556 nationchannel
ปตท. แจ้งแท่นขุดเจาะทรุดตัว ก๊าซฯ หายไปวันละ 1,030 ล้าน ลบ.ฟุต คิดเป็นกำลังการผลิต 6,000 MW ซึ่งต้องหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ เร็วกว่าเดิมที่เคยกำหนดไว้ช่วงสงกรานต์ เป็น 4-12 เม.ย. 56 นี้แทน
ผลกระทบการผลิตไฟฟ้า:
กฟผ. กำหนด 8 มาตรการป้องกัน :
1.เดินเครื่องด้วยโรงไฟฟ้าน้ำมันเตาและดีเซลแทน
2.รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก
3.ผลิตไฟฟ้าเขื่อนจากลาว 4 แห่ง 2,126 MW จากเขื่อนน้ำเทิน น้ำงึม เทินหินบุน และห้วยเหาะ
4.จัดทำแผนทดสอบโรงไฟฟ้าที่ใช้ดีเซลให้ใช้งานได้ทั้งหมด
5.เพิ่มการระบายน้ำโดยปรึกษากรมชลประทาน
6.เลื่อนแผนซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าออกไปก่อน
7.ประสานงาน กฟภ. กฟน. ย้าย Load สถานีไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันระบบกำลังไฟฟ้าแรงดันต่ำ
8.เตรียมแผนดับไฟฟ้าทั้งหมดนี้ หากำลังผลิตชดเชยได้ 4,100 MW อีก 1,900 MW ยังขาดอยู่
วิธีสุดท้ายนี้ คือ Demand Side Management เป็นวิธีที่สำคัญของการลดการใช้ไฟฟ้าโดยหลักการ Energy Efficiency ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ นอกจากจะประกาศเวลา Peak รายวัน เพื่อให้ประชาชนลดการใช้ไฟฟ้าช่วงนั้นแล้ว ยังย้ายอุตสาหกรรมไปบริเวณที่แหล่งจ่ายไฟฟ้า-โรงไฟฟ้า-สามารถ Supply ได้อีกด้วย
เหตุการณ์ก๊าซฯ พม่าหยุดไม่ได้น่าตกใจที่ตัวเหตุการณ์แต่อย่างใด เพราะเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกปี ไม่เฉพาะก๊าซฯ พม่าเท่านั้น แหล่งก๊าซฯ ที่ฝั่งอ่าวไทยก็เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินได้เช่นกัน แต่ที่น่าคิดระยะไกลกันอีกสักหน่อยคือ เราจะใช้ทรัพยากรอะไรต่อในระบบผลิตหลัก (ไม่นับรวมพลังงานหมุนเวียน อันนี้ใจความสำคัญคือ ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม กับทดแทนการใช้น้ำมัน) ถ้าไม่ใช่ถ่านหิน ซึ่งแม้ว่าจะใช้ถ่านหินก็ถ่านหินนำเข้าเท่านั้นในจังหวะเวลานี้ หรือการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ แต่การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศก็มีอุปสรรคไม่น้อย
จุดอ่อนของประเทศไทยไม่ใช่เพียงไม่มีทรัพยากรของตัวเอง และใช้ก๊าซธรรมชาติสูงถึง 70% แต่ไทยยังใช้ไฟฟ้ามากกว่าเพื่อนบ้านอีกด้วย