มนุษย์ทุกคนอยากรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวและโลกนี้ แต่เราคงไม่ได้ถูกทำให้รู้ ถ้าผู้ที่รู้ ก็รู้ไว้เฉยๆ ไม่ได้อยากให้ใครมารู้ด้วย อาจจะเกรงหรือไม่เกรงว่าจะเกิดความตื่นตระหนก หรือ จะทำให้กลไกในโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป หรือ ที่สำคัญที่สุดยิ่งไปกว่านั้นคือ คนเหล่านี้อยู่ในระดับที่สามารถรู้ได้ไหม
ถ้านำมาเปรียบเทียบกับศาสนาพุทธ ที่ผู้เขียนเองพยายามลงลึกในแนวทางปฏิบัติ ศึกษาและรับฟัง ความเป็นมาเป็นไปอยู่บ้าง ก็พบแนวทางเดียวกันว่า เกิดมาเสร็จก็ถูกให้รับรู้อยู่เท่าที่ตนได้สัมผัส สิ่งที่ลึกกว่าสิ่งที่มองเห็น ก็ต้องมีคุณภาพจิตอีกระดับทีเดียวถึงจะรู้ได้ ที่เค้าว่ากันว่า เป็นสิ่งเฉพาะตนเท่านั้นที่จะรู้ได้ นั่นคือ คำตอบของบัวสี่ระดับที่ผู้เขียนเข้าใจแบบผิวเผินสมัยเด็กนั่นเอง
การที่มนุษย์เราคนนึงจะค้นหาสิ่งที่ไม่ได้เจเนเรตเงินให้เค้าได้ แต่พยายามอย่างมากที่จะค้นหาคำตอบให้โลกนี้ ก็คงไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ในโลกนี้บางคนที่พบสิ่งที่กำลังจะพิสูจน์ได้แล้ว (คนเราก็ต้องตั้งเป้าหมายว่าจะพิสูจน์ได้แน่แน่) อย่างเช่น ในหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น [Book] ได้สรุปเป็นนัยๆ ว่า ไอน์สไตน์ ยังค้างแกปของสิ่งที่เค้าศึกษา กับสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แต่ยอมรับโดยดุษฎีว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบมาก่อนแล้วเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตามเราหารู้ไม่ ว่าระหว่างทางที่่กำลังหาคำตอบอยู่นั้น เราอยู่ตำแหน่งไหนของเส้นทาง ไมล์สโตนอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึง บางคนถึงกลับคิดว่าต้องหาจุดสมดุลให้กับสุขภาพร่างกายตัวเอง เพื่อให้ต่อชีวิตให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทุ่มเทหาคำตอบได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเกิดใหม่อีกรอบ จะต่อติดเรื่องเก่าได้มากแค่ไหน
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เรื่องธรรมชาติธรรมดาของปรากฎการณ์ในโลกนี้เป็นเรื่องนึงที่ต้องศึกษา แต่อีกเรื่องนึงที่พบว่าสำคัญไม่แพ้กันนี่ก็คือ กิจกรรมที่เกิดจากมนุษย์มาตั้งแต่อดีต จะเรียกว่า กิจกรรมคงไม่ได้ทั้งหมด เพราะดูเบาไป ถ้ารวมไปถึงการสังหารหมู่ของกลุ่มนาซี … การที่ผู้นำระดับประเทศ อย่าง ประธานาธิบดีสหรัฐ อับราฮัม ลินคอล์น หรือ จอห์น เอฟ เคนเนดี ถูกลอบสังหาร เป็นต้น การศึกษาแนวคิดจนมาถึงการกระทำเหล่านี้ ไม่ง่ายเลย มีสิ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใต้นั้นอีกมากมาย ที่ว่าซ่อนเร้นไม่ใช่มาจากธรรมชาติ แต่ซ่อนเร้นด้วยมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ!!! แล้วสิ่งซ่อนเร้นที่สามารถทำให้โลกนี้กลับไปสู่ยุคไดโนเสาร์สูญพันธุ์หล่ะ จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่ และ ผู้ที่มีข้อมูลพิสูจน์ได้อยู่ในมือกำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนหนึ่งของข้อความข้างต้นผู้เขียนได้ประมวลหลังจากที่ได้มีโอกาสเสวนากับ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น-ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม องค์การอวกาศสหรัฐ สถาบันการบินอวกาศ Goddard ที่กรุงวอร์ชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา-เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจากสัพเพเหระเรื่องเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกาไปเรื่อย จนมาถึงเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับกับมนุษย์เราโดยตรง และเป็นเรื่องที่ ดร. ก้องภพ มีความเชี่ยวชาญ ศึกษา หาคำตอบอยู่ทีเดียว ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนสนใจเห็นจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกร้อนที่สังคมโลกประชุมกันหลายต่อหลายเวที เวทีที่ใหญ่ที่สุดเห็นจะเป็น COP: Conference of Parties ของ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change: อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ*) การที่ไม่ได้ข้อยุติแม้ว่าประชุมกันมาทุกปี และปีนี้เป็นครั้งที่ 16 แล้วนั้น เป็นเพราะว่าข้อมูลบางประการที่นักวิทยาศาสตร์มีนั้น ยังมิได้สอดคล้องกับประเด็นเรื่องการส่งผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ 100 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง แต่มุมที่ไม่ค่อยมีการพูดกันในวงกว้างก็คือ “ผลกระทบของความแปรปรวนของอวกาศต่อโลก” คำตอบอยู่ในวิดีโอที่โพสต์ไว้ของ @iPattt คลิ๊กหาคำตอบได้เลยค่ะ
ถ้าพรุ่งนี้ใครว่างสามารถฟังออนไลน์เพิ่มเติมการเสวนาเรื่องนี้ในเมืองไทย ว่าจะคุกรุ่นขนาดไหนได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าวันพรุ่งนี้ค่ะ หลังจากที่คุณสรยุทธ์ แห่งช่อง 3 ได้พูดถึงเรื่องนี้แล้วถามความเห็นนักวิทยาศาสตร์หลายคนในไทยเมื่อกลางปีที่ผ่านมาค่ะ
* อนุสัญญาฯที่เกิดจากความพยายามของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เชื่อว่ามีสาเหตุมาจากภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) อันเนื่องมาจากการสะสมตัวในชั้นบรรยากาศของก๊าซต่างๆ