เรื่อง Carbon, Climate Change, Global warming ดูคลุมเครือก็คงเป็นเพราะว่า ยังไม่มีการบ่งชี้ที่ชัดเจนของผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโลกนั่นเอง ทั้งๆที่ จุดเริ่มต้นการคิดเนี่ยเป็นเหตุเป็นผลในการทำวิจัยเรื่อง Social Cost of Carbon (SCC) มากว่า 10 ปี เพื่อกำหนด Cap และ Trade ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด แต่ข้อสรุปด้านราคาปรากฏว่า งานวิจัยของความเสียหายบนโลกที่เกิดอย่างรุนแรงเนี่ยคิดเป็นต้นทุนความเสียหายต่ำกว่า US$10 ต่อตัน CO2 เสียอีก
และอีกด้านหนึ่งเมื่อพูดกันถึงมาตรการทางภาษี IPCC คาดการณ์ไว้ว่า ถ้าใน 10 ปีอุณหภูมิสูงขึ้นจาก 0.2 เป็น 1.2 oC ที่พื้นที่ Tropical Troposphere นั้น Carbon Tax จะเพิ่มจาก $4 เป็น $24 ต่อตัน CO2 ดังนั้นก่อนปี 2100 ภาษี (Carbon Tax) จะสูงถึง $200 ต่อตัน CO2 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการเก็บโดยดาวเทียมของ UAH/RSS พบว่า อุณหภูมิสูงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาสูงขึ้นเพียงแค่ 0.08 oC เท่านั้น Carbon Tax จึงสามารถเก็บกันเพียงแค่ US$1.60 ต่อตัน CO2 เท่านั้น จึงเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ชัดเจนในขณะนี้ (source: Energy & Environment, Calling the carbon bluff, Vol.19,No.5,2008 ISSN 0958-305X)
มาดูความหมายของ SCC กันดีกว่าค่ะ
The Social Cost of Carbon (SCC) คือ รายได้และต้นทุนในอนาคตที่แปลงมาให้เห็นเป็นตัวเลขปัจจุบัน ตัวเลขการคาดการณ์ SCC ในปี 2005 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ US$12 ต่อตัน CO2 จากตัวอย่างทั้งหมด 100 ตัวอย่างนั้น แต่ Range ค่อนข้างกว้าง จากต่ำสุด US$-3 ไปจนถึงสูงสุดที่ US$95 ตัน CO2
ในปี 2006, Nicholas Stern-อดีตประธานนักเศรษฐศาสตร์และรองประธานอาวุโสของ World Bank-กล่าวไว้ใน The Stern Review ว่า Climate Change จะมีผลในการทำให้การเติบโตนั้นลดลงถึง 1/5 ถ้ายังไม่มีมาตรการรองรับใดใด และประเมินไว้ว่าจำเป็นต้องลงทุนถึง 1% ของ global GDP ในการลดผลกระทบจาก Climate Change แลกกับความเสี่ยงที่จะเกิดการถดถอยของ GDP ได้ถึง 20%
สำหรับธุรกิจที่ตื่นตัวในเรื่อง SCC ก่อนคือ การประกันภัยซึ่งจำเป็นต้องเพิ่ม Insurance Premiums ในปี 2005 มีรายงานจากสมาคมการประกันภัยอังกฤษว่า ความเสี่ยงของสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงต่อการประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นถึง 2-4% ต่อปี และการ claim ประกันจากกรณีพายุและน้ำท่วมนั้นสูงขึ้นกว่า £6 billion (4 แสนล้านบาท) ช่วงปี 1998-2003 เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า
จาก Choi และ Fisher ในปี 2003 กล่าวว่าสถิติของปริมาณน้ำฝนที่สูงขึ้นทุก 1 ปีในสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความสูญเสียจาก Catastrophe ได้ถึง 2.8% อีกทั้งสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง-Munich Re และ Swiss Re ได้ออกมาเตือนในปี 2002 ว่า ความถี่ของความรุนแรงจากสภาวะอากาศต่อความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น เสียหายถึง US$150 billion (6 ล้านล้านบาท) ต่อปีในช่วง 10 ปีข้างหน้า