หลังจากที่ได้ไปบ้านอารีย์ ฟังธรรมะจากหลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก วันที่ 23 ธันวา กับน้องภา และเ้ด้ง มาแล้ว รู้สึกว่าอาจจะจำกัดด้วยเวลา พระอาจารย์ได้สอนให้ไม่ยึดติด ปล่อยวางสำหรับคนที่ยังมีความโกรธได้ง่ายอยู่ ก็เลยตัดสินใจแน่นอนแล้วล่ะว่า ปีใหม่นี้เราจะต้อนรับปี 2552 ด้วยการไปฟังธรรมะ 3 วันที่ วัดสุนันทวนาราม ของพระอาจารย์นี่แหละ
3 มกราคม 2552
เอา ล่ะ ก่อนจะหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น รีบเขียน blog ธรรมะ ต่อดีกว่า สดๆ ร้อนๆ เลย หลังจากไปปฏิบัติธรรมที่วัดสุนันฯ ประทับใจจัง ว่าเจออีกโลกนึงที่มีผู้คนมองเห็นและเข้าใจชีวิตเข้ามาอยู่ด้วยกัน (ถึงแม้ตัวเองยังไม่ีได้เข้าใจอย่างถ่องแท้น่ะค่ะ) เพื่อนๆ ทุกคนที่อ้างถึง ขออนุญาติอ้างชื่อ เพื่อเป็นการอนุโมทนาสาธุบุญต่อๆ กันไปน่ะค่ะ 😀
เริ่มต้นวันที่ 30 ธันวาคม ตอนแรกนัดกันประมาณ 9 โมงอ่ะ คาดว่าจะนัดเจอที่บ้านพัชร แต่ไปๆมาๆ เปิ้ลซึ่งเพิ่งกลับมาจาก Norway เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็โทรมาพอดี (บังเอิญหรือรู้ก่อนก็ไม่รู้อ่ะ) แต่จากที่คุยโทรศัพท์ เปิ้ลก็ตัดสินใจไปด้วยกันทันที ไม่ได้ใช้เวลาเตรียมตัวมากนัก อือม+++ ที่ Norway มีวัดไทยในเมืองหลวงเท่านั้นอ่ะค่ะ แล้วก็เลยตกลงกันใหม่ใช้เส้นทางถนนพระราม 2 มีผู้เข้าร่วมขบวนการ 4 คน คือ พัชร คุณแม่ัพัชร เปิ้ล ภา และบอน เอง ได้แวะซื้อขัน ยากันยุง และขนมนิดหน่อย แต่ไม่รู้ก่อนว่าทานอาหารได้มื้อเดียวค่ะ :{ พอรู้ก็สายไปเสียแล้ว ต้องสงบอย่างเดียวค่ะ
ตอน ไปถึงวัดก็สังเกตเห็นว่ารถจอดเยอะมากเลย ทุกคนใส่ชุดขาวกันหมด เราก็เดินไปลงทะเบียนค่ะ เพื่อเข้าห้องพัก ได้พักที่อาคารสมาธิ 1 และ 2 ห้องละ 3 คนแบบนอนเรียง ในห้องไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อ หมอนและผ้าห่มแบบผ้าขนหนูดีดีของเรานี่แหละค่ะ คนละผืน ส่วนไฟมีแค่ตรงทางเดินเท่านั้น แว่บแรก นึกขึ้นมาทันทีเลยว่า โอ้!!! มีที่ดีดีอย่างนี้ให้เราฝึกแบบไม่ต้องไปอินเดียด้วยเหรอนี่ ในที่สุดก็ค้นพบ เพราะสภาพแบบนี้คุ้นๆ เหมือนตอนเราไปอินเดีย 3 เดือนเมื่อปลายปี 2550 (link http://www.watpahsunan.org/ ) หลังจากนั้น ก็เปลี่ยนเป็นคนชุดขาว เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับสิ่งที่บริสุทธิ์ต่อไป ฮิฮิ เริ่มจากการดื่มน้ำปานะ ดีกว่า…
น้ำ ปานะ จากคำบอกเล่าของอุบาสิกาที่นี่ อธิบายว่าคือน้ำทุกอย่างที่ไม่ได้มีส่วนผลมของเมล็ดอ่ะค่ะ เช่น โอวัลตินไม่ได้ทำนองนี้ค่ะ ส่วนโกโก้ กาแฟ เป็นการคั้นกรองออกมาทานได้ค่ะ ส่วนน้ำปานะอื่นที่มีที่นี่ก็เช่น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะตูม น้ำขิง น้ำเก็กฮวย อย่างไรก็ตาม ดื่มที่ไม่ใช่ปานะก็ได้น่ะค่ะ ถ้าไม่ได้ถือศีล 8 ท่านเจ้าอาวาส ,พระอาจารย์มิตสุโอะ, ไม่ได้บังคับไว้ ยังเห็นบางคนเอามาม่าไปกินหลังเที่ยงเลยค่ะ ในกรณีที่ไม่ไหวจริงๆ อย่างละเอียดตามนี้น่ะค่ะ
http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=sombita&board=1&id=29&c=1&order=numtopic
หลัง จากนั้นก็ได้เวลาประมาณ 5:30pm ได้เวลาเตรียมตัวทำวัตรเย็น ก็เริ่มจาำกการเดินจงกรมที่ศูนย์เยาวชน ประมาณ 3 รอบ ดูจากนาฬิกาก็ใช้เวลาประมาณรอบละ 15 นาที แต่ขอบอกความจริงว่า วันแรกอ่ะเดินตามเค้าไปไม่รู้หลักเลยซะจริงๆ แต่พอจับสังเกต คนนึงในช่วงที่พักได้ พบว่า เค้าจะเดินแบบ ซ้ายยก ปลายเท้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ซ้ายปลายเืท้าวางในขณะเดียวกับขวาส้นยก ซ้ายวางทั้งเท้าพร้อมกับขวายก ปลายเท้าเชิดขึ้นเล็กน้อย…แล้วสลับกันไป เอ๊ะ รู้สึกพอลองเองก็เป็นจังหวะดีน่ะ ได้ผลดี แต่ควรจะกำหนดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ด้วย คราวนี้เลยจังหวะตีกันยุ่ง เพราะจังหวะเท้่ากับลมหายใจไม่พร้อมกัน ลองอีกก็ไม่ได้อีก เลยคราวนี้เอาแค่นี้ก่อนกำหนดที่ลมหายใจก่อน ก็สงบได้สมาธิเหมือนกัน แต่คาดว่าถ้าเป็นคนที่มีความสามารถแบบ Multifunction จะทำได้ดีน่ะค่ะ เช่น พวกนักบินอ่ะ
หลังจากนั้นก็นั่งในศูนย์เยาวชน สวดตามหนังสือของหลองพ่อชา และตามการนำ้ของพระค่ะ นั่งกันเยอะค่ะเกือบเต็ม แต่ไม่เยอะเท่าวันสิ้นปีค่ะ พอจบบทสวดทำวัตรเย็น ท่านพระสงฆ์, พระอาจารย์หนูพรม, ก็นำ้สวดบทอื่นๆ ต่อไป มีบทที่จำได้ก็คือแผ่เมตตาด้วย จนประมาณ 1 ชม. ถัดมาท่านก็ให้นั่งสมาธิ พร้อมกับฟังเทศน์ อันนี้คุณแม่เล่าว่าสมัยก่อนประมาณ 3 ปีที่แล้ว ท่านมักจะให้นั่งสมาธิเงียบๆ อย่างเดียว แต่ตอนนี้ เปลี่ยนเป็นแบบมีฟังเทศน์ หรือเน้นประสบการณ์ของพระสงฆ์แต่ละรูป ก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนใหม่ๆ อย่างเช่นเรา มากันเยอะขึ้น อีกอย่างที่สังเกตเห็นได้คือ เด็กช่วงต่อตั้งแต่ GenX จนถึง millenium เนี่ยเยอะกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ไม่รู้ว่า กลุ่มนี้เข้าถึงการอิ่มตัวของวัตถุนิยมได้เร็วและง่ายกว่าแต่ก่อน ตาม Trend ของยุค Internet หรือเปล่า
แต่สำหรับประสบการณ์ของคนที่นั่งเฉยๆ 2 ชม สำหรับคนอย่างเราเนี่ย บิดแล้วบิดอีกเป็นร้อยรอบได้เมิ้ง แต่มีจังหวะนึงที่พระอาจารย์หนูพรม เล่าให้ฟังเรื่องพระฝรั่งที่มาบวชว่านั่งสมาธิไม่เป็น นั่งขัดสมาธิก็เข่าชี้ฟ้า บางทีท่านอาจจะอยากบอกเราเป็นนัยๆก็ได้น่ะ เพราะตอนนั้นเข่าชี้ฟ้าอยู่พอดีเลย :[ พอได้เวลาประมาณ 3 ทุ่มก็เสร็จกิจกรรมเย็นค่ะ แยกย้ายกันไปเข้าที่พัก ระหว่างทางพัชรก็เล่าให้ฟังถึงตอนที่บวชว่า พระต้องเดินกับกุฎิลำพัง และมืดมาก ไม่มีไฟตรงบริเวณกุฏิแน่นอน ห่างแค่ประมาณ 10 เมตรถึงกับมองไม่เห็นกัน แต่ยอมรับว่าสามารถฝึกสมาธิได้ผลจริงๆ จากบรรยากาศที่เงียบแบบวิ้งๆ… แต่ถ้าความรู้สึกไม่เงียบเนี๊ยะน่ากลัวกว่าน่ะ อย่างเช่นที่พระอาจารย์หนูพรมเล่าให้ฟัง คือ บางสถานที่ ท่านไม่สามารถหลับได้เพราะมีความรู้สึกถึงความแปลกๆ อยู่ ตามความหมายของท่านก็คือ อาจยังมีวิญญาณที่เึค้าวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นค่ะ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ เป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้นน่ะค่ะ
สวัสดีตอนเช้าวันสิ้นปีที่ 31 ธันวาคม
ก่อน เช้าตรู่ คือประมาณ ตี 3 ของวันนี้ ได้ยินเสียงระฆังแล้วล่ะ แต่ตายังปิดอยู่เลย ไม่มีแสงอื่นนอกจากดาว เข้ามาทางหน้าต่างเลยสักนิด อีก 2 คนก็ยังหลับด้วยอ่ะ เอ๊ะแต่ว่าเมื่อวานพระอาจารย์บอกว่าโปรแกรมทำวัตรเช้าจะเริ่มประมาณ ตี 2:45 นี่นา อือม แต่นอนต่อดีกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย พอตอนตี 4 ได้ยินเสียงระฆัง อีก 2 คนเลยขยับตัว เราเลยรู้สึกได้ว่า จุดเริ่มต้นก็คงต้องอาศัยพลังจากเพื่อนๆ อย่างงี้นี่แหละ 😀 ถึงจะตื่นได้
เข้า มานั่งในธรรมศาลา แล้วก็เริ่มบทสวดทำวัตรเช้า ซึ่งพระนำ้สวด สวดได้ดีมากค่ะ รู้สึกเพราะและบทสวดก็แปลความหมายให้คนไทยอย่างเราเข้าใจในหลักธรรมมากขึ้น ไม่ใช่ท่องแบบนกแก้วอีกต่อไป (จริงๆก็หนังสือสวดเล่มเดียวกับเมื่อวาน แต่เพิ่งรู้สึกวันนี้แหะ) ต่อด้วยการนั่งสมาธิ แต่รู้สึกหนาวๆ และเป็นเวลาตี 5 ครึ่งแล้ว เลยขออนุญาติกราบลาออกไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อรอเวลาน้ำปานะ อีกสักแก้ว สองแก้วขออนุญาติพัชรนำรูปมา post ค่ะ เนื่องจากบรรยากาศสดชื่นมากๆ ในช่วงเวลาของการเดินจงกรม
จาก รูปนี้คือโปรแกรมเพิ่มเติมที่พระอาจารย์หนูพรมพาเดินจงกรมรอบๆ บริเวณวัด ซึ่งช่วงนี้ก้อได้ทราบว่า การบิณฑบาตรของพระสงฆ์ที่วัดป่าสุนันทฯ นี้ต้องมีความอดทนมากๆ เลย เพราะการเดินบนถนนดินลูกรังตลอดระยะทาง 3 กิโลเมตรเนี่ยไม่ธรรมดาเลย เราลองเดินเหยียบไป 2 ก้าวก็ต้องขอบคุณที่โลกนี้สร้างรองเท้ามาให้เลยน่ะเนี่ยะ แต่การเดินดว้ยเท้าเปล่าจะเป็นการบังคับให้พระกำหนดจิตอยู่ที่เท้าทุกย่าง ก้าวได้อย่างอัตโนมัติเลย แต่ที่น่ายกย่องนับถือเลยเนี้ยะ ก็คือว่า พระอาจารย์ที่นำ้หน้าท่านเดินได้เร็วมากๆ มากกว่าฆราวาสอย่างเรากับรองเท้าน้อยเสียอีก
ช่วงเวลาน้ำปานะเช้าคือ 6am-8am ซึ่งที่จริงทางวัดเค้าก็ต้มน้ำร้อนให้ตลอดน่ะค่ะ ตลอดเวลาจริงๆ อาจเห็นว่าคนอาจจะทนไม่ค่อยไหวอ่ะ และบางช่วงเวลามีไอติมกะทิด้วย ช่วงนี้ก็สังเกตได้อย่างคือ มีคนเข้ามาลงทะเบียนเยอะแยะเลยค่ะ สงสัยเพราะเป็นวันสิ้นปี แต่ก้อไม่ได้แปลกใจอะไรมาก เพราะในช่วงนี้เราจะจดจ่อกับอาหารมื้อเช้าตอน 8โมงมากกว่า หลังจากที่พระทุกรูปได้ตักอาหารใส่บาตรแล้ว หลังจากนั้นคนก็เริ่มต่อแถวกันแบบบุฟเฟต์กะลามัง กำลังสงสัยว่าทำไมท่านเจ้าอาวาส ถึงเลือกใช้กาละมังแทนจาน หรือว่าจะกลัวคนทนไม่ได้ทั้งวันเลยต้องตักเยอะๆเต็มกะลามัง หรืออีกทีก็อาจจะให้เรารู้สึกว่าถ้าเราตักเยอะเพราะความหิว พอกินไปสักพักแล้วเหลือเยอะแยะแต่กินไม่ไหวแล้ว อาจทำให้เราคิดได้ว่า ถึงแม้จะหิวแค่ไหน แต่ไม่ใช่ว่าร่างกายจะรับได้มากขึ้น แปรตามซะเมื่อไหร่ เหมือนกับทำอะไรให้พอตัวทำนองนี้เมิ้งค่ะ เมื่อทานเสร็จก็ต่อคิวกันล้างจาน เป็นระเบียบมาก สงสัยท่านเจ้าอาวาสปรับการทำงานแบบ Kaizen ในวัดล่ะ
ถัด มาก็เป็นช่วงเวลาทำสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน อานาปานสติ 11am 1pm และ 3pm รอบละ 1 ชม ซึ่งแต่ละรอบอาจฝึกเอง อาจพัก หรือฟังเทศน์ไปด้วยก็ได้ หรืออาจฟังประสบการณ์จากผู้ที่ฝึกมาก่อนหน้า ถัดมาก็เวลาน้ำปานะ 4-6pm
พอ ถึงช่วงเย็นก็เดินมาที่ศูนย์เยาวชน ระหว่างทางพัชรก็พาเดินมาที่อุโบสถกลางแจ้ง ซึ่งเป็นสไตล์ญี่ปุ่นรวมทั้งจัดสวนแบบญี่ปุ่นด้วย และมีรูปปั้นนูนต่ำ รูปพระสงฆ์ที่คล้ายๆ การ์ตูนพระญี่ปุ่น คือตาเส้นเดียว ยิ้ม และหัวโต ตัวเล็ก ซึ่งเหมือนรูปในหนังสือของพระอาจารย์ที่บางท่านอาจได้ศึกษามาแล้ว จึงรู้สึกได้ว่าท่านมีสัญลักษณ์จริงๆ รวมกับที่ได้ยินพระรูปอื่นๆ ในวัดที่ท่านได้พูดถึงพระอาจารย์ว่าท่านใจดีมาก ยิ้มตลอด และให้โอกาสพระใหม่ๆ เสมอ ทำอะไรยังไม่ได้ ท่านก็ยิ้มและบอกว่าทำได้ดีแล้วเสมอ 😀 ที่นี่บรรยากาศเงียบสงบมาก สามารถทำสมาธิได้ดีทีเดียว เมื่อมาถึงศูนย์เยาวชน ก็ทำกิจกรรมเหมือนเมื่อวาน แต่ที่มาสังเกตอีกทีคือคนล้นมากๆ ตั้ง 500 กว่าคน จึงรู้ว่าคนส่วนใหญ่นิยมมา Countdown ที่วัดช่วง 31 -1 จริงๆ อย่างที่คิดไว้ สิ่งที่พิเศษอีกอย่างของวันนี้คือ ท่านเจ้าอาวาสจะเทศน์ช่วง 3 ทุ่มและหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไปถึงเช้า และเราก็ได้เห็นว่ามีคนที่สามารถอดทนนั่งได้ถึงเช้าตั้ง 40% แหน่ะ คราวหน้าเราค่อยขอลองบ้่างแล้วกัน วันนี้ต้องขอเข้าที่พักอย่างสงบหลังจากสวดมนต์แล้วตอน Count down แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าการนั่งนานๆ ของเราถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างมากทีเดียว คือบิดน้อยลง แถมนั่งได้นานขึ้นตั้งแต่ 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืนกว่าๆ คาดว่าวันพรุ่งนี้จะทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน
สวัสดีเช้าปีใหม่ 2552
ตื่น มารู้สึกสดชื่นมากๆ (ตื่นตั้ง 8โมง เนื่องจากคนที่อยู่ถึงเช้าก็ทำวัตรเช้าเสร็จเลยจึงค่อยกลับมานอน)แต่รู้สึก อิ่มใจมากที่ได้มีโอกาสดีในการเิริ่มต้นปีด้วยการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมเช่นนี้ จนคาดว่าปีอื่นๆ จะต้องมาอีกแน่นอนถ้ามีโอกาส แล้วก็สังเกตอีกแล้วว่าคนเยอะมากๆ ที่มาทำบุญปีใหม่วันที่ 1 จนกระทั่ง พระอาจารย์บอกให้คนไปฟังเทศน์ก่อนที่ธรรมศาลาประมาณเกือบชั่วโมง เพราะจริงๆ แล้วคาดว่าอาจต้องประกอบอาหารเพิ่มจากจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นมากขนาดนี้ เพราะคนที่มาวัด พระท่านก็ห้ามไม่ได้ วัดก็จำเป็นจะต้องให้อาหารแก่ผู้คนที่มาทำบุญ พยายามจะคิดวิธีทางแก้ของวัด ก็เป็นความยากอีกเพราะเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ ไม่สามารถบังคับจำนวนคนได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่เรื่องที่พักก็ยังพอจะจัดการได้เพราะเต็มก็คือเต็ม ไม่สามารถรับได้เพิ่ม :[
สำหรับในช่วงกิจกรรมกลางวัน ก็รู้สึกได้ถึงการทำสมาธิที่มีประสิทธิผลมากขึ้น คือ สามารถนั่งลืมตาสมาธิได้ซึ่งเริ่มต้นได้ง่ายกว่าเทียบกับการเริ่มจากการหลับ ตาเลย (เฉพาะบุคคลน่ะค่ะ) เพราะสังเกตว่าการนั่งสมาธิก็เหมือนกับการ Start Engine ต้องมีเริ่มใช้แรงช่วงแรกเยอะมากเพื่อเอาชนะความฝืด เ่ช่นเดียวกัน เมื่อลืมตา เราจะสามารถสังเกตตัวเองได้ง่ายในแง่ของการที่ตัวเรามีสมาธิหรือไม่ เมื่อคนอื่นเดินผ่านแล้ว ยังสังเกตคนอื่นอยู่หรือไม่ แล้วก็นั่งท่าไหนก็ทำสมาธิได้เหมือนกันขอให้ในสงบพอ เมื่อเราลืมตาอยู่เราไม่เห็นคนอื่นแล้ว นั่นแหละเริ่มหลับตาได้คราวนี้นั่งไ้ด้อย่างนาน ทั้งหมดนี้จริงๆ ส่วนนึงก็มาจากหนังสือที่ทางวัดแจกสำหรับผู้มาปฏิบัติฯ ครั้งแรกนี่แหละค่ะ ซึ่งอธิบายอะไรต่างๆ เพื่อช่วยให้เราปฏิบัติฯไ้ด้เห็นผลขึ้น และเมื่อหยุดทำสมาธิ จะมานั่งใหม่ก็เหมือนเดิมต้องจุดไฟสตาร์ทนี่แหละสำคัญ
ส่วน การเดินจงกรมก็เริ่มเดินช้าลง โดยเดินจังหวะเดียวกับที่เราหายใจเนี่ยแหละจะช่วยได้มาก นอกจากบางคนแยกจังหวะได้แล้ว เนี่ยแหละ ขั้นเทพฯ เลย แต่อย่างที่เปิ้ลว่าไว้คือ เมื่อไหร่คนเริ่มเิดินเยอะและไม่เดินไปทางเดียวกัน ยังไงเราก็ต้องเดินหลบอยู่ดีก็จะเป็นการยากมากสำหรับการสร้างสมาธิ เพราะตัดภายนอกไม่ได้นั่นเอง
กิจกรรมช่วงเย็นของวันที่ 1 พระอาจารย์หนูพรมก็บอกว่า อยากจะให้ Bonus โดยการเลิกเร็วกว่าเวลา เพราะเห็นบางคนตั้งใจนั่งกันถึงเช้าตั้งแต่เมื่อวาน และ่ส่วนตัวเราก็จะได้เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับมาสู่ทางโลกเหมือนเดิมล่ะ
อย่าง นึงในช่วงปฏิบัติธรรมที่ได้ตอบคำถามที่สงสัยบางอย่าง เช่นว่า ถ้าปฏิบัติได้เองแล้ว เราก็หาที่สงบปฏิบัติเองซะเลย ก็ไม่ต้องมาเบียดเบียนกินข้าวที่วัดอีกต่อไป แต่คำตอบที่ได้จากคนอื่นๆ ก็คือ สิ่งที่ทำให้หลายคนมาวัด มาสวดฯ มาปฏิบัติกันเนี่ยะก็เพราะว่าพลังจิต พลังใจที่มีคนมาภาวนาร่วมกันเนี่ยแหละ ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นมาได้ สำหรับคนที่เกิดมาบนโลกเนี่ยถือว่าโชคดีมากถ้าได้มีโอกาสได้เกิดมาเป็น พุทธมามกะ แต่ก็จะถือว่าโชคดีมากขึ้นถ้า่ได้เข้าถึง เข้าใจ ร่วมสร้างพลังให้เกิดขึ้นได้อย่างนี้ หรือว่าอาจเป็นพลังแบบเดียวกันนี้ที่ทำให้เรารู้สึกได้ครั้งที่ไปสักการะพระ พุทธเจ้าถึงพุทธคยาก็ไม่รู้ จะจริงหรือไม่ที่สาเหตุที่ทำให้คนแต่ละคนสนใจธรรมะเนี่ยะถูกกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนเราเกิด ถ้าจะลองนึกเล่นๆ ดูประสบการณ์ของบางคนก็ดูแปลก เหมือนมีสิ่งดลใจให้ประสบ ทำให้เกิด บางสิ่งที่เราได้รับจากบุคคลผู้ไม่รู้จักเหมือนกับว่าจะบอกเป็นนัยๆ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ ก็ยังคงต้องหาคำตอบต่อไป คำตอบที่พระพุทธเจ้ารู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม blog นี้ไม่ได้เขียนเพื่อทำให้เข้าใจไขว้เขวกับสิ่งที่ทุกท่านที่อ่านได้เข้าใจ อยู่แล้ว เพราะเป็นการแสดงสิ่งที่สังเกต และรู้สึกเป็นการส่วนตัว เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องทั้งต่อตนเอง และผู้อื่นที่คิดเห็นแบบเดียวกันนี้ เพราะการเกิดเป็นคน มีกรรมต้องที่ลืมง่าย ยิ่งสังขารแก่ตัวลง ก้อยิ่งลืมง่ายเข้าไปอีก จึงก่ะว่าจะกลับมาอ่านใหม่หลายๆ รอบ ถ้าต่อไปยังฝึกสมาธิ เดินจงกรมไม่สำเร็จ ดังนั้น ถ้าข้อความบางอย่าง ความคิดเห็นบางประการ ไม่ตรงกับใจ หรือความคิดเห็นของใคร ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ค่ะ